สงครามเย็น
1. ความหมายของสงครามเย็น
สงครามเย็นคือลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ช่วง ค.ศ.1945-1991 ที่ กลุ่มประเทศโลกเสรีและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์
ต่างพยายามต่อสู้โดยวิธีการต่างๆ ยกเว้นการทำสงครามกันโดยเปิดเผย
เพื่อขัดขวางการขยายอำนาจของกันและกันสงครามเย็นมีผลสืบเนื่องมาจากสภาพบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่
2 ที่ ทั้งประเทศผู้ชนะและแพ้สงคราม ได้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
ทวีปยุโรปซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาพทรุด
โทรมอย่างยิ่ง
ต้องสูญเสียอำนาจและอิทธิพลในสังคมโลกให้กับสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต
ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจมั่นคงจนเป็นหลักในการบูรณะฟื้นฟูประเทศ อื่นๆ
สหรัฐอเมริกาก้าวสู่ความเป็นผู้นำของโลกเสรีประชาธิปไตย
ในขณะที่สหภาพโซเวียตมีอำนาจและอิทธิพลเนื่องมาจากความสำเร็จในการขยายลัทธิ
คอมมิวนิสต์สู่กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก อยู่ในฐานะประเทศผู้นำของโลกคอมมิวนิสต์
คำว่า อภิมหาอำนาจ จึงหมายถึง ความเป็นผู้นำโลกของประเทศทั้งสอง ซึ่งแข่งขันกันขยายอำนาจและอิทธิพล
จนทำให้ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันเกิดความตึงเครียดสูงสาเหตุ
ของสงครามเย็นเกิดจากการแข่งขันกันของประเทศอภิมหาอำนาจจากประเสบการณ์ที่
ผ่านมาในสงครามโลกทั้งสองครั้ง
ทำให้สหรัฐอเมริกาเสียหายน้อยกว่าประเทศคู่สงครามในยุโรป ทั้งยังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสูง
และเป็นประเทศแรกที่สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
จึงมีความรู้สึกว่าตนเป็นตำรวจโลกเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งวิถีทางประชาธิปไตยและเสรีภาพ
ส่วนสหภาพโซเวียตฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง
รวดเร็ว เพราะพื้นที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติมาก
สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ
สหภาพโซเวียตต้องการเป็นผู้นำในการปฏิวัติโลกเพื่อสถาปนาระบบสังคมนิยม
คอมมิวนิสต์ตามแนวคิดของมาร์กซ์ขึ้น ดังนั้น
ทั้งสองอภิมหาอำนาจจึงใช้ความช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศต่างๆ
เป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพล อำนาจ และอุดมการณ์ของตน
เพื่อหาประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่าย ตรงข้าม
สาเหตุ
ของสงครามเย็นเกิดจากการแข่งขันกันของประเทศอภิมหาอำนาจจากประเสบการณ์ที่
ผ่านมาในสงครามโลกทั้งสองครั้ง
ทำให้สหรัฐอเมริกาเสียหายน้อยกว่าประเทศคู่สงครามในยุโรป
ทั้งยังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสูง
และเป็นประเทศแรกที่สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีความรู้สึกว่าตนเป็นตำรวจโลกเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งวิถีทางประชาธิปไตยและ
เสรีภาพ ส่วนสหภาพโซเวียตฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างรวดเร็ว
เพราะพื้นที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติมาก สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ
สหภาพโซเวียตต้องการเป็นผู้นำในการปฏิวัติโลกเพื่อสถาปนาระบบสังคมนิยม
คอมมิวนิสต์ตามแนวคิดของมาร์กซ์ขึ้น ดังนั้น
ทั้งสองอภิมหาอำนาจจึงใช้ความช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศต่างๆ
เป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพล อำนาจ และอุดมการณ์ของตน
เพื่อหาประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่าย ตรงข้าม
3
ความขัดแย้งของมหาชาติอำนาจในยุคสงครามเย็น
ส่วน
สหภาพโซเวียตฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2
อย่างรวดเร็ว เพราะพื้นที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติมาก
สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ
สหภาพโซเวียตต้องการเป็นผู้นำในการปฏิวัติโลกเพื่อสถาปนาระบบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ตามแนวคิดของมาร์กซ์ขึ้น
ดังนั้น ทั้งสองอภิมหาอำนาจจึงใช้ความช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศต่างๆ
เป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพล อำนาจ และอุดมการณ์ของตน
เพื่อหาประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่าย
ตรงข้ามการแข่งขันเพื่อความเป็นใหญ่ในยุคสงครามเย็นนั้นมีหลายรูปแบบ
ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นความสำเร็จของอุดมการณ์ทางการ
เมืองของฝ่ายตน ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยเน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ในขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ชี้ความเสมอภาคของประชาชน
เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของแต่ละฝ่ายคือ สำนักงานข่าวสารเผยแพร่ข่าวสาร
สำนักงานวัฒนธรรม โครงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา
บางครั้งใช้วิธีการทางการเมืองและการฑูตเพื่อแสวงหาพันธมิตรในการเมืองระดับ ประเทศ
หรือใช้วิธีการเศรษฐกิจแก่ประเทศพันธมิตรในรูปของเงินช่วยเหลือเงินกู้ระยะ ยาว
เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ในทางตรงกันข้าม อาจใช้มาตรการทางเศรษฐกิจตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม
เช่น การงดความสัมพันธ์ทางการค้า กับบางประเทศ
นอกจากนั้นวิธีการทางทหารนับว่าเป็นวิธีการที่ใช้มากที่สุด มีการสะสมกำลังอาวุธ
การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศพันธมิตรด้านกำลังทหาร กำลังอาวุธ จัดส่งเจ้าหน้าที่หรือผู้เชี่ยวชาญทางการทหาร
ตลอดจนการส่งกองกำลังของตนเข้าไปตั้งมั่นในประเทศพันธมิตร
จนในที่สุดก็ได้ตั้งองค์การป้องกันร่วมกันในภูมิภาคต่างๆ เช่น
องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (Nato) องค์การสนธิสัญญาเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
(Seato) และกลุ่มกติกาสนธิสัญญวอร์ซอ (Warsaw Pact) วิธีการเผยแพร่อิทธิพลวิธีสุดท้าย คือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ได้แก่ ความพยายามแสดงออกถึงความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น
การคิดค้นอาวุธ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ
รวมทั้งโครงการสำรวจอวกาศเพื่อสร้างความศรัทธาแก่ประเทศพันธมิตรและสร้าง
ความยำเกรงแก่ประเทศฝ่ายตรงข้าม หลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการเผชิญหน้าของสองอภิมหาอำนาจในภูมิภาคต่างๆ
เริ่มต้นจากปัญหาความมั่นคงในยุโรป
สหภาพโซเวียตขยายอิทธิพลเข้าไปในยุโรปในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกกลายเป็นกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายสกัดกั้นลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยการประกาศหลักการทรู
แมน ในเดือน มีนาคม ค.ศ.1947 ซึ่งมีสาระสำคัญว่าสหรัฐอเมริกาจะได้ความช่วยเหลือแก่ประเทศต่างๆ
เพื่อธำรงไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยให้พ้นจากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์
ทั้งภายนอกและภายในประเทศ
รัฐสภาอนุมัติเงินและให้ความช่วยเหลือตุรกีและกรีกให้รอดพ้นจากเงื้อมมือ
ลัทธิคอมมิวนิสต์ ในปีเดียวกันสหภาพโซเวียตได้ตั้งสำนักงานข่าวคอมมิวนิสต์ (Cominform)
ขึ้นที่กรุงเบลเกรด
ทำหน้าที่เผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์และเป็นเครื่องมือของสหภาพโซเวียต เพื่อป้องกันมิให้โลกเสรีเข้าแทรกแซงในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก
เป็นการตอบโต้หลักการทรูแมน
การประกาศหลักการทรูแมนของสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นการเริ่มต้นอย่างแท้จริง
ของสงครามเย็นระหว่างสองอภิมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกาพยายามกอบกู้และฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปเป็นเป้าหมายต่อไปโดยการ
เสนอให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ทุกประเทศในยุโรป ตามแผนการณ์มาร์แชล
ซึ่งแผนการนี้มีระยะเวลา 4 ปี ด้วยงบประมาณ 13,500 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาในรูปของเงินทุน วัตถุดิบ
อาหารและเครื่องจักรกล ส่วนประเทศในยุโรปตะวันออกถูกสหภาพโซเวียตกดดันให้ปฏิเสธข้อเสนอของอเมริกา
โดยสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกได้ร่วมมือกันจัดตั้งสภาความ
ช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจหรือโคมีคอน (Comecon)ด้วยเหตุนี้
การฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปจึงแยกเป็น 2 แนวทางตั้งแต่นั้นมา นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้านการเมืองการทหารแก่กลุ่ม
ประเทศยุโรปตะวันตก ในค.ศ.1949 สหรัฐอเมริกาและแคนาดาร่วมกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก
10 ประเทศ จัดตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต
ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกทั้งด้านการเมือง
การทหาร เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
ซึ่งการตั้งนาโตถือว่าเป็นจุดสำคัญของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในการ
ต่อต้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียต โดยใช้ความร่วมมือทางทหารของกลุ่มประเทศโลกเสรี
กฏบัตรขององค์การนาโต กำหนดไว้ว่า หากยุโรปตะวันตกถูกรุกราน
สหรัฐอเมริกาจะเข้าร่วมสงครามโดยทันทีตามหลักการป้องกันตนเอง
ส่วนสหภาพโซเวียตก็จำเป็นต้องมีกองทหารไว้ควบคุมเขตอิทธิพลของตน
จึงมีการประชุมเพื่อดำเนินการจัดตั้งระบบพันธมิตรทางทหารของกลุ่มประเทศ
ยุโรปตะวันออกขึ้นที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์
ก่อให้เกิดกลุ่มกติกาสนธิสัญญาวอร์ซอ ทำให้สหภาพโซเวียตสามารถมีกองกำลังของตนไว้ในประเทศสมาชิกได้
4
ความขัดแย้งและสงครามเย็นตัวแทนในภูมิภาคเอเชีย
ใน
ตะวันออกลาง หรือเอเซียตะวันตกเฉียงใต้
เป็นภูมิภาคที่มีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มประเทศอาหรับด้วยกันเอง
และระหว่างกลุ่มประเทศอาหรับกับประเทศอิสราเอล สหภาพโซเวียตฉวยโอกาสขยายอิทธิพลของตนด้วยวิธีารต่างเช่น เสนอให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหารแก่ประเทศอิยิปต์
ในการปฏิรูปประเทศในสมัยประธานาธิบดีนัสเซอร์ด้วยการให้เงินสร้างเขื่อนอัส วาน
อืยิปต์เป็นผู้นำของกลุ่มประเทศอาหรับที่สหภาพโซเวียตต้องการส่งเสริม อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ให้แพร่หลายในภูมิภาคตะวันออกลาง
ฝ่ายโลกเสรีจึงหาทางสกัดกั้นด้วยการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาเซ็นโต
หรือองค์การสนธิสัญญากลาง (Central
Treaty Organization:CENTO) ซึ่ง มีสมาชิก 5 ประเทศ
คือ สหราชอาณาจักร ตุรกี อิรัก อิหร่าน และปากีสถาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการแทรกแซงและขยายอำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ใน
ภูมิภาคนี้ ส่วน ในทวีปแอฟริกา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆ
ได้รับเอกราช โดยส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง เช่น คองโก
จึงเกิดการจลาจลแย่งอำนาจระหว่างชนเผ่าต่างๆ คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติเกรงว่าความวุ่นวายนี้จะเป็นภัยต่อ
สันติภาพของโลก
จึงมีมติให้ส่งกองกำลังของสหประชาชาติเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อยในคองโก
สหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ความช่วยเหลือแก่ประธานาธิบดีลูมุมบา
ของคองโก และนายครุฟเซฟผู้นำสหภาพโซเวียตประนามการแทรกแซงสหประชาชาติ
ส่วนสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ขยายอิทธิพลเข้าไปในแทนซาเนียด้วยการช่วยเหลือใน
การสร้างทางรถไฟยาว 1,000 ไมล์
ในขณะที่สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสได้พยายามรักษาอิทธิพลในแอฟริกาอาณานิคมของตน
5
การสิ้นสุดสงครามเย็น
สิ้นสุดของทศวรรษ 1980 เป็นการสิ้นสุดของยุคสมัยแห่ง
“สงครามเย็น” ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษภายหลังสงครามโลกครั้งที่
2
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้การขัดแย้งทางอุดมการณ์และการแข่งขันกันเป็น ผู้นำของโลก ระหว่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตสิ้นสุดลง สืบเนื่อง มาจากการล่มสลายของระบบ การปกครองคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก และความเปลี่ยนแปลงในสหภาพโซเวียต อันเป็นผลมาจากนโยบาย ปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ เห็นว่าเป็นความ จำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การปรับเปลี่ยนนโยบายดังกล่าวทำให้เกิด ความไม่พอใจในกลุ่มผู้นำคอมมิวนิสต์หัวเก่าและนำไปสู่การปฏิวัติที่ล้มเหลว การหมดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ ประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต ในยุโรปตะวันออก ต่างแยกตัวเป็นอิสระและท้ายที่สุดรัฐต่างๆ ในสหภาพ โซเวียต ต่างแยกตัวเป็นประเทศอิสระปกครองตนเอง มีผลทำให้ สหภาพโซเวียต ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1991 จากการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ส่งผลให้มีการ สลายตัวของ “กลุ่มโซเวียต” และ“องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ” รวม ทั้ง องค์การโคมีคอน ซึ่งเป็นองค์การร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สังคมนิยม ปรากฏการณ์นี้จึงทำให้การเผชิญหน้าระหว่าง ประเทศมหา อำนาจตะวันออก–ตะวันตกได้สลายตัวลงด้วย เหตุการณ์ที่เป็นนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดของ “สงครามเย็น”
คือ การทำลายกำแพงเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1989 และการรวมประเทศ เยอรมนีทั้งสองเข้าเป็นประเทศเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1990 การที่ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดหย่อนท่าที และเงื่อนไขของฝ่ายรัสเซีย ยอมให้ ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นจุดสำคัญของความขัดแย้งในยุโรป กลับมารวมกัน ได้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและมีไมตรีต่อกันที่กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้การขัดแย้งทางอุดมการณ์และการแข่งขันกันเป็น ผู้นำของโลก ระหว่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตสิ้นสุดลง สืบเนื่อง มาจากการล่มสลายของระบบ การปกครองคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก และความเปลี่ยนแปลงในสหภาพโซเวียต อันเป็นผลมาจากนโยบาย ปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ เห็นว่าเป็นความ จำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การปรับเปลี่ยนนโยบายดังกล่าวทำให้เกิด ความไม่พอใจในกลุ่มผู้นำคอมมิวนิสต์หัวเก่าและนำไปสู่การปฏิวัติที่ล้มเหลว การหมดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ ประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต ในยุโรปตะวันออก ต่างแยกตัวเป็นอิสระและท้ายที่สุดรัฐต่างๆ ในสหภาพ โซเวียต ต่างแยกตัวเป็นประเทศอิสระปกครองตนเอง มีผลทำให้ สหภาพโซเวียต ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1991 จากการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ส่งผลให้มีการ สลายตัวของ “กลุ่มโซเวียต” และ“องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ” รวม ทั้ง องค์การโคมีคอน ซึ่งเป็นองค์การร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สังคมนิยม ปรากฏการณ์นี้จึงทำให้การเผชิญหน้าระหว่าง ประเทศมหา อำนาจตะวันออก–ตะวันตกได้สลายตัวลงด้วย เหตุการณ์ที่เป็นนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดของ “สงครามเย็น”
คือ การทำลายกำแพงเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1989 และการรวมประเทศ เยอรมนีทั้งสองเข้าเป็นประเทศเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1990 การที่ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดหย่อนท่าที และเงื่อนไขของฝ่ายรัสเซีย ยอมให้ ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นจุดสำคัญของความขัดแย้งในยุโรป กลับมารวมกัน ได้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและมีไมตรีต่อกันที่กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น